ระบบสารสนเทศขาดคุณภาพ
เมื่อกล่าวถึงคุณภาพของระบบสารสนเทศ
หลายคนมักจะวัดที่ราคาที่จัดซื้อ จัดจ้างเป็นเครื่องมือในการวัด
ถ้ามีราคาแพงสร้างโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงแล้วจะมีคุณภาพ
แต่ระบบสารสนเทศที่ดีไม่จำเป็นนำปัจจัยนี้มาวัดคุณภาพก็ได้
การวัดคุณภาพระบบสารสนเทศวัดกันด้วยมาตรฐานการสร้างและความความสะดวกสบายในการใช้ระบบสารสนเทศ
อย่างไรก็ตามมีสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบสารสนเทศ
ได้สร้างมาตรฐานเพื่อวัดคุณภาพขึ้นมาบ้างแล้ว ได้แก่ มาตรฐาน CMM หรือ capability maturity model (กนกอร
แสงประภาและคณะ, 2550) โดยสถาบัน Software
Engineering Institute แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน สหรัฐอเมริกา
ได้พัฒนาขึ้นให้แก่กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้แบ่งวุฒิภาวะความสามารถ
ออกเป็น5 ระดับ ได้แก่
1. ระดับตั้งต้น (initial level) หน่วยงานส่วนราชการส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับนี้
โดยมีการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนางานให้ลุล่วงเพียงอย่าง
เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จะเลิกทำงานตามที่วางแผนไว้
แล้วรีบด่วนเขียนคำสั่งและทดสอบแทน
ความสำเร็จของการพัฒนาซอฟต์แวร์ในระดับนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถของหัวหน้าโครงการ
หากได้หัวหน้าโครงการที่มีความสามารถ และกล้าคิดกล้าทำ
2. ระดับทำซ้ำได้ (repeatable
level) หน่วยงานที่อยู่ในระดับนี้เริ่มมีนโยบายในการบริหารจัดการโครงการซอฟต์แวร์และมีการกำหนดขั้นตอนการนำนโยบายไปใช้
การวางแผนและจัดการโครงการใหม่มักจะขึ้นกับประสบการณ์จากโครงการที่คล้ายกัน
ความสามารถของกระบวนการนั้นเกิดจากการนำขั้นตอนพื้นฐานทางด้านการบริหารโครงการมาใช้
มีการนำการบริหารการจัดการโครงการเบื้องต้น มีการจัดทำเอกสารอย่างเป็นขั้นตอน
และสามารถตรวจสอบได้ มีการจัดทำเอกสาร ควบคุม มีการฝึกอบรม มีการวัดผล และ
สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ มีการควบคุมและติดตามการทำงานตามภารกิจต่าง ๆ
ที่กำหนดในแผน มีการดูแลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นไปตามที่กำหนด ลักษณะของระดับนี้
คือใช้ผลสำเร็จของโครงการที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง มีการกำหนดมาตรฐานโครงการ
และมีการจัดรูปแบบองค์กรให้งานโครงการดำเนินไปได้ดี
3 นี้ช่วยให้หัวหน้าโครงการซอฟต์แวร์และลูกทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล
หน่วยงานสามารถใช้แนวทางของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ได้ผลขึ้นเมื่อมีการกำหนดมาตรฐานกระบวนการซอฟต์แวร์
หน่วยงานอาจจัดตั้งกลุ่มกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ขึ้นเพื่อรับผิดชอบงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับกระบวนการซอฟต์แวร์ของหน่วยงานด้วย
และมีการจัดฝึกอบรมอย่างกว้างขวางเพื่อให้ผู้บริหารโครงการและลูกทีมมีความรู้และทักษะที่สามารถทำงานที่กำหนดได้ดี
โครงการต่าง ๆ
ที่ทำในระดับนี้จะช่วยให้หน่วยงานปรับเปลี่ยนกระบวนการซอฟต์แวร์ของตนตามลักษณะพิเศษของโครงการได้
ฝ่ายบริหารวางใจได้ สามารถตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการได้ตลอดเวลา
4.ระดับจัดการ (managed level) หน่วยงานที่มีความสามารถอยู่ในระดับนี้สามารถกำหนดคุณภาพในเชิงจำนวนให้แก่ซอฟต์แวร์และกระบวนการซอฟต์แวร์ได้
หน่วยงานสามารถวัดคุณภาพและผลผลิตของกระบวนการซอฟต์แวร์สำคัญๆ ของทุกโครงการได้
โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวัดผลงานขององค์กร
มีการจัดทำฐานข้อมูลสำหรับบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กระบวนการซอฟต์แวร์ที่ชัดเจน
5.ระดับเหมาะที่สุด (optimized
level) หน่วยงานที่อยู่ในระดับนี้เป็นหน่วยงานที่เน้นในด้านการปรับปรุงกระบวนการอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งจะเป็นการพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ในทุกจุดให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีวิธีการในการกำหนดจุดอ่อนและจุดแข็งของกระบวนการในเชิงรุก
บทสรุป
บทสรุป
ระบบสารสนเทศที่ใช้ในส่วนราชการ มักจะเกิดจากการผลักดันของผู้บริหารระดับสูงหรือผู้บริหารระดับกลาง
ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดแผนแม่บทที่ดี ขาดการศึกษาความเป็นไปได้
หรือเป็นแผนแม่บทที่ถูกออกแบบมาอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบสนองผู้บริหาร
จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เมื่อระบบสารสนเทศมีใช้ในหน่วยงานแล้ว
หัวหน้างานระดับต่าง ๆ ไม่เรียกใช้ข้อมูลเพื่อนำมาตัดสินใจ หรือขาดการติดตามงาน
ทำให้ผู้ใช้ระดับปฏิบัติการละเลยการป้อนหรือปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
ผลที่ได้ของสารสนเทศจะไม่สามารถนำมาใช้ในการทำงานใด ๆ ได้เลย
บางหน่วยงานจะมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงขอบเขตข้อมูล เปลี่ยนนโยบายหรือโครงสร้างข้อมูลทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขระบบสารสนเทศตามมา
สุดท้ายปัญหาที่พบมากที่สุดได้แก่ ระบบสารสนเทศไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
ที่มา......ครรชิต มาลัยวงศ์. (2550). ผู้บริหารยุคสารสนเทศ.
[Online], Available: http://www.drkanchit.com/ict_management/index.html, [2007, June 30]
[Online], Available: http://www.drkanchit.com/ict_management/index.html, [2007, June 30]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น