Ontrack EasyRecovery 6 มือโปรแห่งการกู้ไฟล์
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 หน้า
ปัญหาไฟล์หาย ไฟล์ถูกลบทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือโดนพิษสงของไวรัสเข้าให้ ปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างเอาเรื่องพอสมควร หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาเปล่านี้มาบ้างแล้ว ซึ่งก็น่าเห็นใจนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไฟล์นั้นเป็นไฟล์งาน ก็คงเสียเวลาไม่น้อยกับการสร้างหรือทำขึ้นมาใหม่ หรือถ้ารุนแรงถึงขั้นทำให้วินโดวส์ไม่สามารถทำงานได้ ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ...ลองมาศึกษาตัวเก่งมือโปร อย่าง Ontrack EasyRecovery 6 กันดูมั้ยว่า มีวิธีการช่วยได้อย่างไรบ้าง
ปัญหาไฟล์หาย ไฟล์ถูกลบทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือโดนพิษสงของไวรัสเข้าให้ ปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างเอาเรื่องพอสมควร หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาเปล่านี้มาบ้างแล้ว ซึ่งก็น่าเห็นใจนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไฟล์นั้นเป็นไฟล์งาน ก็คงเสียเวลาไม่น้อยกับการสร้างหรือทำขึ้นมาใหม่ หรือถ้ารุนแรงถึงขั้นทำให้วินโดวส์ไม่สามารถทำงานได้ ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ...ลองมาศึกษาตัวเก่งมือโปร อย่าง Ontrack EasyRecovery 6 กันดูมั้ยว่า มีวิธีการช่วยได้อย่างไรบ้าง
คุณคงอยากรู้ว่า EasyRecovery กู้ไฟล์ในกรณีไหนได้บ้าง? ผมจะแจกแจงให้เห็นเป็นข้อๆ อาทิ
กู้ไฟล์ที่ถูกลบจากโหมดดอส ตรงจุดนี้ตัววินโดวส์เองไม่ได้คอยตามมาเอาไฟล์ที่ถูกลบไปใส่ไว้ใน Recycle Bin ให้คุณ
กู้ไฟล์ที่ถูกลบออกอย่างถาวรจาก Recycle Bin เพราะโดยส่วนใหญ่เมื่อลบไฟล์ในวินโดวส์ ไฟล์นั้นจะถูกย้ายมาประจำการอยู่ที่ Recycle Bin เพื่อรอการเปลี่ยนใจ แต่ถ้าคุณตามมาลบใน Recycle Bin ให้สิ้นซาก หรือสั่งใน Recycle Bin เคลียร์ตัวเองแบบอัตโนมัติ
กู้ไฟล์ที่ถูกลบจากแผ่นดิสก์ เพราะตัววินโดวส์ไม่มีความสามารถในการย้ายไฟล์ที่ถูกลบจากแผ่นดิสก์มาใส่ไว้ใน Recycle Bin รอให้คุณได้เปลี่ยนใจ
กู้ไฟล์ที่มีปัญหาจากโปรแกรมยอดนิยมอย่าง Word , Excel , Access , PowerPoint รวมถึงไฟล์บีบขนาดต่างๆ เช่น .ZIP ให้สามารถกลับมาใช้งานได้ อย่างเช่น ไฟล์เอกสาร Word ที่มีปัญหาบ่อยมากที่สุด ถูกเรียกขึ้นมาทำงานไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีส่วนเสียเพียงเล็กน้อย เราจะมาลองแก้ปัญหานี้ด้วยกัน โดยใช้ EasyRecovery อาจจะทำให้คุณเสียเวลาเพียงเล็กน้อยโดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารใหม่ทั้งหมด
แต่สำหรับไฟล์ .ZIP นั้น ก่อนอื่นคุณจะต้องแน่ใจก่อนว่า ไฟล์ .ZIP ที่จะทำการกู้คืนนั้น จะต้องเป็นไฟล์ .ZIP ที่เคยสมบูรณ์ แต่เสียไปบ้างส่วน ไม่ใช่เป็นไฟล์ .ZIP ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตแบบไม่สมบูรณ์ แน่นอนไฟล์นั้นย่อมมีปัญหามาอยู่แล้ว จึงไม่สามารถเปิดได้แน่ อีหรอบนี้ EasyRecovery ก็คงแก้ไขให้ไม่ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่คุณจะต้องท่องให้ขึ้นใจไว้เลยก็คือ ห้ามเซฟไฟล์ใดๆ ลงบนฮาร์ดดิสก์ หรือแผ่นดิสก์ที่ต้องการกู้ไฟล์ทันที!!!
หลังจากที่ไฟล์ที่หาย ไม่ว่าจะเป็นการลบทิ้ง หรือฟอร์แมต เพราะอะไรหรือครับ? เหตุผลก็มีอยู่ว่า เมื่อคุณสั่งลบไฟล์ หรือโฟลเดอร์นั้นทิ้งไป หลายคนจะเข้าใจว่า ถูกลบทิ้งไปจริงๆ แต่ความจริงก็คือ ตัวโอเอสจะเป็นเพียงแค่มาร์กไว้เฉยๆ ว่า มีพื้นที่ตรงนี้ตรงโน้นว่าง (ที่เกิดจากไฟล์ที่ถูกลบทิ้ง) ถ้าเป็นแบบนี้เมื่อไม่มีการเขียนไฟล์ใหม่อะไรลงไปทับ โอกาสที่จะกู้ไฟล์คืนกลับมาก็พูดได้ว่า 100%
แต่ถ้าคุณเกิดไปเซฟไฟล์ใหม่ลงไป ทีนี้โอกาสในการกู้ไฟล์ก็มีเปอร์เซ็นต์ลดน้อยถอยลงไป เพราะเราไม่สามารถรับประกันได้ว่า ตำแหน่งที่ถูกมาร์กไว้ว่าว่างในตอนแรก จะถูกแทนด้วยไฟล์ใหม่นั้นหรือไม่ เพราะการจัดเก็บไฟล์ด้วยโอเอสลงบนตำแหน่งต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ หรือแผ่นดิสก์จะเป็นแบบสุ่มลง ตรงไหนว่างก็เก็บไฟล์ไว้ตรงนั้นเลย
จากการติดตั้งโปรแกรมลงบนวินโดวส์ ตรงนี้จะเป็นการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ คือไม่ใช่มีแค่การกู้ไฟล์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซ่อมแซมไฟล์ที่มีปัญหา อย่าง Word , Excel และรวมถึงความสามารถในการตรวจสอบความผิดปกติฮาร์ดดิสก์อีกด้วย
จากแผ่นดิสก์บูตฉุกเฉินที่โปรแกรม EasyRecovery จะมีความสามารถเพียงแค่ใช้สำหรับกู้ไฟล์เท่านั้น ลองมาดูกรณีตัวอย่าง ว่าจะต้องเรียกใช้ EasyRecovery กันอย่างไร
ถ้าฮาร์ดดิสก์ที่คุณต้องการกู้ข้อมูล มีการแบ่งออกเป็นหลายพาร์ทิชัน เช่น แบ่งออกเป็น 2 พาร์ทิชัน C: เอาไว้เก็บระบบ และโปรแกรมใช้งานต่างๆ ส่วน D: เอาไว้เก็บข้อมูล ทีนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการกู้ไฟล์จากไดรฟ์ D คุณก็สามารถที่จะนำเอา EasyRecovery มาติดตั้งลงในเครื่องไว้ที่ไดรฟ์ C แล้วเรียกโปรแกรมเพื่อมากู้ไฟล์จากไดรฟ์ D ได้ เพราะไม่มีการเขียนไฟล์ขณะโปรแกรมติดตั้งไปทับไฟล์ที่ต้องการกู้จากไดรฟ์ D
แต่ถ้ากรณีที่ฮาร์ดดิสก์ของคุณมีการแบ่งเป็นพาร์ทิชันเดียว คือมีแค่ไดรฟ์ C กรณีมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คุณจะไม่สามารถนำเอาโปรแกรม EasyRecovery มาติดตั้งลงในวินโดวส์ เพื่อจะได้เรียกโปรแกรมขึ้นมากู้ไฟล์ เพราะขณะติดตั้งโปรแกรม อาจจะมีการเขียนไฟล์ของโปรแกรมไปทับกับตำแหน่งไฟล์ที่ต้องการกู้คืน ดังนั้น การเรียกใช้ EasyRecovery จะต้องเรียกใช้จากแผ่นบูตฉุกเฉินที่เราสร้างจากโปรแกรม EasyRecovery
กรณีที่ไฟล์สำคัญของวินโดวส์หายไป ทำให้ไม่สามารถบูตได้ ตรงนี้เรื่องใหญ่ครับ คุณจะต้องเรียกใช้จากแผ่นบูตฉุกเฉินของ EasyRecovery แต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังไงก็ไม่สามารถเข้าสู่การทำงานของวินโดวส์ได้ แล้วจะไปติดตั้งโปรแกรมได้อย่างไรกันล่ะครับ เอาเป็นว่า ถ้าจะให้ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เครื่องของคุณปรกติดีอยู่ ก็ให้ติดตั้ง EasyRecovery ลงในเครื่องให้เรียบร้อยเพื่อพร้อมใช้งาน และก็สำคัญที่สุด!! สร้างแผ่นบูตฉุกเฉินของ EasyRecovery ขึ้นมาด้วย
สำหรับการใช้งานคำสั่งของ EasyRecovery ที่ติดตั้งในเครื่อง หรือเรียกใช้จากแแผ่นบูตฉุกเฉินนั้น ก็คคล้ายๆ กันนั่นแหละครับ
ในขณะติดตั้งโปรแกรม EasyRecovery จะมีขั้นตอนหนึ่งถามว่าต้องการสร้างแผ่น หรือไม่ ก็สามารถสร้างได้ โดยการนำแผ่นดิสก์เปล่า 1 แผ่นที่เตรียมไว้ใส่เข้าไปในไดรฟ์ A
หรือจากคำสั่ง Emergency Diskette (ดังรูปที่ 1)
Drive Test ใช้สำหรับตรวจสอบหาความผิดปกติของสื่อเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ในระดับกายภาพโดยการทดลองการอ่าน-เขียนระดับเซกเตอร์ (เป็นหน่วยย่อยของการโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล) เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ว่ามีตำแหน่งของเซ็กเตอร์ไหนบ้าง ที่จะไม่สามารถใช้การได้ เมื่อคุณเลือกรายการนี้แล้ว ให้เลือกการตรวจสอบแบบ Full Diagnostics แต่ก็จะต้องแลกกับการใช้เวลาในการตรวจสอบ
SmartTests เป็นการตรวจสอบหาความผิดปกติในเรื่องของเทคโนโลยี SMART ที่เป็นเทคโนโลยีของทางฮาร์ดดิสก์ค่าย Seagate เป็นเทคโนโลยีที่ตรวจสอบความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ล่วงหน้า ก่อนที่จะเกิดความเสียหายเกิดขึ้น
Size Manager เป็นการขอดูรายละเอียดว่าในฮาร์ดดิสก์ของเรา มีโฟลเดอร์ไหนบ้าง ไฟล์ไหนที่ใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บกันอย่างละเท่าไหร่
JumperViewer เหมือนเป็นคู่มือเพื่อดูวิธีการเซตจัมเปอร์ของฮาร์ดดิสก์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ว่ามีการกำหนดตรงไหน โดยเมื่อเลือกหัวข้อนี้แล้ว จะมีการต่ออินเทอร์เน็ตไปยังเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูล แต่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เพราะฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ๆ จะมีฉลากการเซตจัมเปอร์ติดมาบนตัวฮาร์ดดิสก์ไว้อยู่แล้วครับ
Partition Tests เป็นการขอตรวจสอบทางด้านโครงสร้างของระบบไฟล์ ว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ เพราะความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ นอกจากปัญหาความผิดปกติทางกายภาพที่ใช้หัวข้อ DriveTest ตรวจสอบ แต่หากมีปัญหาเรื่องโครงสร้างระบบไฟล์ ก็จะต้องใช้หัวข้อนี้ตรวจสอบกันครับ
DataAdvison เป็นการขอสร้างแผ่นดิสก์บูตที่มีเครื่องมือการตรวจสอบความผิดปกติทั้งในระดับกายภาพ และโครงสร้างระบบไฟล์ในรูปแบบของแผ่นดิสก์แทน เผื่อใช้ในกรณีที่ฮาร์ดดิสก์ของเราอ่านจะไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนครับว่า คุณคงไม่สามารถเข้าสู่วินโดวส์ได้ ก็ใช้แผ่นดิสก์ DataAdvison ทำงานแทนได้
ที่มา: http://www.arip.co.th/articles.php?id=405975
ปัญหาไฟล์หาย ไฟล์ถูกลบทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือโดนพิษสงของไวรัสเข้าให้ ปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างเอาเรื่องพอสมควร หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาเปล่านี้มาบ้างแล้ว ซึ่งก็น่าเห็นใจนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไฟล์นั้นเป็นไฟล์งาน ก็คงเสียเวลาไม่น้อยกับการสร้างหรือทำขึ้นมาใหม่ หรือถ้ารุนแรงถึงขั้นทำให้วินโดวส์ไม่สามารถทำงานได้ ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ...ลองมาศึกษาตัวเก่งมือโปร อย่าง Ontrack EasyRecovery 6 กันดูมั้ยว่า มีวิธีการช่วยได้อย่างไรบ้าง
คุณคงอยากรู้ว่า EasyRecovery กู้ไฟล์ในกรณีไหนได้บ้าง? ผมจะแจกแจงให้เห็นเป็นข้อๆ อาทิ
แต่สำหรับไฟล์ .ZIP นั้น ก่อนอื่นคุณจะต้องแน่ใจก่อนว่า ไฟล์ .ZIP ที่จะทำการกู้คืนนั้น จะต้องเป็นไฟล์ .ZIP ที่เคยสมบูรณ์ แต่เสียไปบ้างส่วน ไม่ใช่เป็นไฟล์ .ZIP ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตแบบไม่สมบูรณ์ แน่นอนไฟล์นั้นย่อมมีปัญหามาอยู่แล้ว จึงไม่สามารถเปิดได้แน่ อีหรอบนี้ EasyRecovery ก็คงแก้ไขให้ไม่ได้
เตรียมตัวอย่างไรเมื่อไฟล์หาย
ก่อนจะไปรู้จักกับวิธีการกู้ไฟล์ คุณควรจะเข้าใจสถานการณ์บางอย่างเสียก่อน เพื่อเป็นการรับประกันว่าการกู้คืนว่าจะได้ผล 100% หรือลดน้อยลงไปแต่ถ้าคุณเกิดไปเซฟไฟล์ใหม่ลงไป ทีนี้โอกาสในการกู้ไฟล์ก็มีเปอร์เซ็นต์ลดน้อยถอยลงไป เพราะเราไม่สามารถรับประกันได้ว่า ตำแหน่งที่ถูกมาร์กไว้ว่าว่างในตอนแรก จะถูกแทนด้วยไฟล์ใหม่นั้นหรือไม่ เพราะการจัดเก็บไฟล์ด้วยโอเอสลงบนตำแหน่งต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ หรือแผ่นดิสก์จะเป็นแบบสุ่มลง ตรงไหนว่างก็เก็บไฟล์ไว้ตรงนั้นเลย
เรียกใช้งาน EasyRecovery ได้อย่างไร
ก่อนกู้ไฟล์โดยการเรียกใช้จากโปรแกรม EasyRecovery ได้นั้น คุณจะต้องเข้าใจสถานการณ์ของคุณเสียก่อนว่า จะเรียกใช้ EasyRecovery ได้จากตรงไหน เพราะการเรียกใช้โปรแกรมสามารถทำได้จาก 2 ทางคือจากการติดตั้งโปรแกรมลงบนวินโดวส์ ตรงนี้จะเป็นการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ คือไม่ใช่มีแค่การกู้ไฟล์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซ่อมแซมไฟล์ที่มีปัญหา อย่าง Word , Excel และรวมถึงความสามารถในการตรวจสอบความผิดปกติฮาร์ดดิสก์อีกด้วย
จากแผ่นดิสก์บูตฉุกเฉินที่โปรแกรม EasyRecovery จะมีความสามารถเพียงแค่ใช้สำหรับกู้ไฟล์เท่านั้น ลองมาดูกรณีตัวอย่าง ว่าจะต้องเรียกใช้ EasyRecovery กันอย่างไร
ถ้าฮาร์ดดิสก์ที่คุณต้องการกู้ข้อมูล มีการแบ่งออกเป็นหลายพาร์ทิชัน เช่น แบ่งออกเป็น 2 พาร์ทิชัน C: เอาไว้เก็บระบบ และโปรแกรมใช้งานต่างๆ ส่วน D: เอาไว้เก็บข้อมูล ทีนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการกู้ไฟล์จากไดรฟ์ D คุณก็สามารถที่จะนำเอา EasyRecovery มาติดตั้งลงในเครื่องไว้ที่ไดรฟ์ C แล้วเรียกโปรแกรมเพื่อมากู้ไฟล์จากไดรฟ์ D ได้ เพราะไม่มีการเขียนไฟล์ขณะโปรแกรมติดตั้งไปทับไฟล์ที่ต้องการกู้จากไดรฟ์ D
แต่ถ้ากรณีที่ฮาร์ดดิสก์ของคุณมีการแบ่งเป็นพาร์ทิชันเดียว คือมีแค่ไดรฟ์ C กรณีมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คุณจะไม่สามารถนำเอาโปรแกรม EasyRecovery มาติดตั้งลงในวินโดวส์ เพื่อจะได้เรียกโปรแกรมขึ้นมากู้ไฟล์ เพราะขณะติดตั้งโปรแกรม อาจจะมีการเขียนไฟล์ของโปรแกรมไปทับกับตำแหน่งไฟล์ที่ต้องการกู้คืน ดังนั้น การเรียกใช้ EasyRecovery จะต้องเรียกใช้จากแผ่นบูตฉุกเฉินที่เราสร้างจากโปรแกรม EasyRecovery
กรณีที่ไฟล์สำคัญของวินโดวส์หายไป ทำให้ไม่สามารถบูตได้ ตรงนี้เรื่องใหญ่ครับ คุณจะต้องเรียกใช้จากแผ่นบูตฉุกเฉินของ EasyRecovery แต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังไงก็ไม่สามารถเข้าสู่การทำงานของวินโดวส์ได้ แล้วจะไปติดตั้งโปรแกรมได้อย่างไรกันล่ะครับ เอาเป็นว่า ถ้าจะให้ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เครื่องของคุณปรกติดีอยู่ ก็ให้ติดตั้ง EasyRecovery ลงในเครื่องให้เรียบร้อยเพื่อพร้อมใช้งาน และก็สำคัญที่สุด!! สร้างแผ่นบูตฉุกเฉินของ EasyRecovery ขึ้นมาด้วย
สำหรับการใช้งานคำสั่งของ EasyRecovery ที่ติดตั้งในเครื่อง หรือเรียกใช้จากแแผ่นบูตฉุกเฉินนั้น ก็คคล้ายๆ กันนั่นแหละครับ
สร้างแผ่นบูตฉุกเฉินได้จากตรงไหน
เห็นพูดถึงการเรียกใช้งาน EasyRecovery จากแผ่นบูตฉุกเฉินบ่อยมาก หลายคนอาจจะสงสัยว่า แผ่นดิสก์บูตฉุกเฉินที่ว่านี่ จะเอามาจากไหนรูปที่ 1 |
วิธีใช้งาน EasyRecovery แบบเต็มรูปแบบ
ย่างที่บอกไว้แต่ต้นว่า ถ้าคุณติดตั้งโปรแกรม EasyRecovery ลงในเครื่อง โดยใน EasyRecovery เวอร์ชัน 6 ได้นำเอาโปรแกรมซ่อมแซมไฟล์ต่างๆ มารวมอยู่ด้วย โดยก่อนหน้านี้โปรแกรมเหล่านี้จะถูกจับแยกขายออกต่างหากรูปที่ 2 |
หมวดแรก Disk Diagnostics
ในหมวดนี้ เป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับการตรวจสอบหาความผิดปกติของสื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งในด้านกายภาพของตัวสื่อเก็บข้อมูลจริงๆ กับทางด้านโครงสร้างการจัดเก็บของระบบไฟล์ของสื่อเก็บข้อมูล ถ้าคุณเข้าไปดูในโหมดนี้ จะเห็นว่ามีตัวเลือกให้เลือก 6 หัวข้อเลยทีเดียวครับ (ดังรูปที่ 2)Drive Test ใช้สำหรับตรวจสอบหาความผิดปกติของสื่อเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ในระดับกายภาพโดยการทดลองการอ่าน-เขียนระดับเซกเตอร์ (เป็นหน่วยย่อยของการโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล) เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ว่ามีตำแหน่งของเซ็กเตอร์ไหนบ้าง ที่จะไม่สามารถใช้การได้ เมื่อคุณเลือกรายการนี้แล้ว ให้เลือกการตรวจสอบแบบ Full Diagnostics แต่ก็จะต้องแลกกับการใช้เวลาในการตรวจสอบ
SmartTests เป็นการตรวจสอบหาความผิดปกติในเรื่องของเทคโนโลยี SMART ที่เป็นเทคโนโลยีของทางฮาร์ดดิสก์ค่าย Seagate เป็นเทคโนโลยีที่ตรวจสอบความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ล่วงหน้า ก่อนที่จะเกิดความเสียหายเกิดขึ้น
Partition Tests เป็นการขอตรวจสอบทางด้านโครงสร้างของระบบไฟล์ ว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ เพราะความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ นอกจากปัญหาความผิดปกติทางกายภาพที่ใช้หัวข้อ DriveTest ตรวจสอบ แต่หากมีปัญหาเรื่องโครงสร้างระบบไฟล์ ก็จะต้องใช้หัวข้อนี้ตรวจสอบกันครับ
DataAdvison เป็นการขอสร้างแผ่นดิสก์บูตที่มีเครื่องมือการตรวจสอบความผิดปกติทั้งในระดับกายภาพ และโครงสร้างระบบไฟล์ในรูปแบบของแผ่นดิสก์แทน เผื่อใช้ในกรณีที่ฮาร์ดดิสก์ของเราอ่านจะไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนครับว่า คุณคงไม่สามารถเข้าสู่วินโดวส์ได้ ก็ใช้แผ่นดิสก์ DataAdvison ทำงานแทนได้
ที่มา: http://www.arip.co.th/articles.php?id=405975
ได้ความรู้มากค้ะ
ตอบลบ