วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


การสแกนหนังสือโบราณที่ประเทศพม่า

เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๓ ทางศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. (STKS) ได้มีการจัดการประชุมประจำปี ในบรรยากาศที่ตั้งว่า New Trends in Library and Information Management โดยผมได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอหัวข้อ "Library Management Innovation in 2010" กับทีมงานของ สวทช. จึงอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง
แนวโน้มของห้องสมุดที่กำลังเปลี่ยนแปลงแน่นอน หากยังมองไม่ไกลมากนักน่าจะมีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนสี่ด้านในช่วง ๕ ปีข้างหน้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ น่าจะเป็นที่ใฝ่หาของผู้ใช้ห้องสมุด และในเวลาเดียวกัน ก็น่าจะเป็นเหตุผลหลักด้วยว่า ทำไมจึงยังต้องมีห้องสมุดอยู่ในสถาบันต่างๆ เพื่อบริการในสิ่งที่เหนือกว่าการเข้าร้านหนังสือ หรือการทำงานกันอยู่ที่หน้าจออินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว แนวทางที่นำเสนอ ตั้งใจจะสื่อกับบรรณารักษ์ทั้งหลายในประเทศไทยว่า งานของห้องสมุดมีความสำคัญ หากเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดี ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ และน่าจะได้งบประมาณมาสนับสนุนกิจกรรมการดำเนินงานต่อไป
แนวโน้มสี่ด้านที่ผมนำเสนอ คือ
  1. เรื่องการจัดพื้นที่ การทำหน้าตาของห้องสมุดให้เป็นที่น่าสนใจ
  2. บริการออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับห้องสมุด
  3. บริการด้านเอกสารและบริการถ่ายเอกสาร โดยการส่งทางอีเมล
  4. บริการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Digital Archive
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดได้จาก NSTDA Blog ที่บันทึกการบรรยายโดยคุณ cha-baa
หากผมมีเวลาเขียนลงใน Thaiview Blog แห่งนี้ ก็จะพยายามนำภาพต่างๆที่พบเห็นมาแสดงว่าแต่ละเรื่อง เปลี่ยนแปลงไปทางไหน ในวันนี้ ขอพูดถึงประเด็นเดียวก่อน คือ สองประเด็นแรก ว่าด้วยการจัดพื้นที่ การทำหน้าตาของห้องสมุดให้เป็นที่น่าสนใจ กับการบริการออนไลน์
สิ่งที่เราจะพบบ่อยๆ คือ คือ ห้องสมุดหลายแห่ง จะทยอยกันยกเลิกพื้นที่วางหิ้งหนังสือในห้องสมุด เปลี่ยนเป็นที่วางคอมพิวเตอร์แก่ผู้ใช้ ด้วยเหตุผลที่ว่า หนังสือยอดนิยม และหนังสือเก่าแก่โบราณมากๆ หากมาทำเป็น eBook ก็จะสามารถใช้งานได้ดีเท่ากัน ประหยัดกระดาษ และไม่ต้องเดินไปหาให้เสียเวลา และที่สำคัญคือ เครื่องคอมพิวเตอร์มันทำงานได้หลายอย่าง (ต่อเน็ตค้นหาข้อมูล อ่านข่าวจากสื่อสาธารณะ เขียนบทความ เขียนหนังสือ ตัดต่อรูปภาพ ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ) และในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา เราเริ่มเป็นเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ออกวางตลาด เริ่มด้วย Kindle ของ Amazon.com ตามด้วยของ Sony และรายอื่นๆ ล่าสุดคือ Apple iPad ซึ่งเปิดตัวเมื่อมกราคม ๒๕๕๓ และจะวางตลาดในต้นเดือนเมษายนนี้
หนังสือเล่ม จะอยู่คู่กับเราไปอีกเป็นร้อยปี แต่อาจจะมีจำนวนน้อยลง และคนยุคใหม่อาจจะอ่านด้วยวิธีที่ต่างไปจากคนรุ่นเก่าๆ ความเปลี่ยนแปลงนี้ ยังเดาไม่ได้ว่าจะจบอย่างไร ที่แนๆ่ก็คือ มีสิ่งพิมพ์บางชนิด เช่นการอ่านข่าวทาง นสพ. ที่น่าจะถูกแทนที่โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ห้องสมุดคลจะลดพื้นที่หิ้งหนังสือ (ไม่ได้ยกเลิก) แต่มีบางแห่ง ที่กล้าที่จะทำถึงระดับยกเลิก และได้รับการต่อต้านจากผู้ที่ชอบหนังสือเล่มอย่างมาก ดังตัวอย่างข้างล่างนี้

Welcome to the library. Say goodbye to the books.

Voice from Boston เพื่อนของเราคนหนึ่ง เขียนลงใน NSTDA Blog เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอคัดย่อมาเล่าให้อ่านกันดังนี้
James Tracy ครูใหญ่โรงเรียน Cushing Academy ซึ่งอยู่ที่เมือง Ashburnham มลรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เขาตั้งใจจะเปลี่ยนห้องสมุดคู่บุญของโรงเรียน อายุกว่าหนึ่งร้อยปีแห่งนี้ให้เป็นห้องสมุดไร้หนังสือ (เล่ม) ด้วยเขาเห็นปัญหาความล้าสมัยที่เกี่ยวโยงกับหนังสือ(เล่ม)เหล่านั้น นอกจากนี้หนังสือที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงตามไปด้วย โรงเรียนนี้จึงมีนโยบายที่จะเปลี่ยน ห้องสมุด(Library) ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ (Learning center) ด้วยงบประมาณห้าแสนเหรียญ (ประมาณ ๑๗.๕ ล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่าย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่นทีวีจอแบน แล็พท็อป และเครื่องอ่านหนังสือดิจิทัล กับการจัดหาหนังสือดิจิทัลกว่าล้านเล่ม
When I look at books, I see an outdated technology, like scrolls before books, said headmaster James Tracy. (Mark Wilson for The Boston Globe)
โครงการนี้สร้างความกังวลให้กับหลายๆ คนที่ยังคงรักการสัมผัสเล่มของหนังสือ.. กังวลว่านักเรียนจะขาดช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้และคิดไปกับไอเดียของผู้เขียน … เสียสายตา .. นักเรียนอาจไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือผ่านหน้าจอนานเท่ากับอ่านหนังสือเล่ม ฯลฯ แม้จะมีผู้คัดค้านอย่างมาก นักเรียนหลายคนตั้งตาคอยกับปรากฎการณ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับโรงเรียนของตนเอง
อ่านรายละเอียดได้ที่ Abel, David. “Welcome to the library. Say goodbye to the books.” The Boston Globe 276, 66 (Sep. 4, 2009).

การบริการออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับห้องสมุด

ในประเด็นที่สอง ว่าด้วยการบริการออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับห้องสมุด – ประเด็นนี้คงจะต้องขยายความว่า จะมุ่งเห็นบริการโดยไม่ทราบว่าต้องทำอะไรบ้างก่อนหน้านั้นคงจะไม่ได้ บริการออนไลน์กว่าจะเกิดขึ้นได้ ต้องทำบุญล่วงหน้ากันหลายปี นั่นก็คือ การวางแผนให้มี digital contents กันในภาพรวมก่อนครับ หน่้วยงานใดมาพูดเรื่องบริการออนไลน์แบบเอาความโก้เป็นหลัก หน่วยงานนั้นต้องบอกว่า "กลวงโบ๋" เพราะจะจบด้วยการซื้อเครื่องมือ ซื้อโปรแกรม และซื้อเนื้อหาที่เป็น digital content จนกระทั่งเอาตัวไม่รอดแน่นอน
แท้ที่จริงแล้ว หากจะมีบริการออนไลน์ที่ดี เราจะต้องวางแผนสร้าง digital contents ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และดำเนินการไปอย่างสม่ำเสมอจนเป็นวัฒนธรรม ในประเทศไทย เราใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยเรียงพิมพ์กันกว่า ๓๐ ปีแล้ว แต่การผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐานก็เพิ่งจะเริ่มขึ้นเป็นส่วนน้อย ยังคงมีภารกิจที่จะต้องจัดระเบียบให้หนังสือที่อยู่ในช่วงอายุไม่เกิน ๓๐ ปีได้มีโอกาสออกตัวเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์บ้าง
สำหรับหนังสือที่เก่าแก่เกิน ๕๐ ปี มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็น eBook ได้ดี เพราะในบรรดาหนังสือเหล่านั้น ลิขสิทธิ์ที่ตกเป็นของทายาทผู้เขียนที่เสียชีวิตไปแล้วก็ทะยอยหมดไป การนำกลับมาถ่ายด้วยเครื่องสแกนภาพหรือกล้องดิจิทัลสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว
ท่านที่สนใจเรื่องพวกนี้ สามารถเข้าไปชมที่โครงการ หนังสือเก่าชาวสยาม ที่ริเริ่มโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ร่วมกับ สวทช. ว่าเราเข้าอ่านหนังสือเก่าๆ ของไทยได้อย่างไร
เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทาง สวทช. เอง (โดยศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเนคเทค) ก็ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสแกนหนังสือเก่าที่นักอนุรักษ์หนังสือชาวพม่าท่านหนึ่ง (คุณ U Moe Myint) จะทูลเกล้าฯ ถวาย เราจึงเกิดเป็นโครงการความร่วมมือนำระบบสแกนหนังสือจากประเทศไทยที่พัฒนาโดยบริษัท ATIZ สองเครื่อง และระบบของเนคเทคหนึ่งเครื่อง ยกไปทำกันที่เมืองย่างกุ้ง อีกไม่นาน ก็จะมีชุดหนังสือเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศิลปะ และมานุษยวิทยากว่าสี่ร้อยเล่ม เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งผมทราบมาว่า ชุดหนังสือดิจิทัลนี้ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ มีพระราชประสงค์จะพระราชทานให้กับคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ตัวเล่มหนังสือจริงๆ ซึ่งมีค่ามากก็ยังอยู่กับเจ้าของต่อไป แต่เราคนไทย จะเข้าถึงฉบับดิจิทัลได้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ท่านทราบไหมครับ ว่า ATIZ เป็นบริษัทของคนไทย บริษัทนี้มีนวัตกรรม สามารถออกแบบและสร้างเครื่องสแกนหนังสือออกมาดีที่สุดในโลก และส่งออกไปยังต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามีโครงการสแกนหนังสือเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ Google Book และความร่วมมือระหว่าง Google กับหลายมหาวิทยาลัย ที่ดูแลหนังสือกว่าแห่งละ ๒๐ ล้านเล่ม หากใครอยากทราบว่าที่ไหนสแกนหนังสือกันมาก ก็คงต้องสอบถาม ดร.สารสิน บุพพานนท์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้
ทางบริษัทก็เข้ามาร่วมทำงานสนองพระราชดำริโดยการให้ทางพม่าได้ยืมใช้เครื่องสแกนหนังสือเพื่อทำงานในโครงการครับ ขอให้ได้บุญมากๆ และขายเครื่องได้เยอะ ทางสวทช.ก็มีสายการผลิต eBook โดยใช้เครื่องของ ATIZ หนึ่งเครื่อง

แนวทางการก้าวสู่การผลิต eBook ขององค์กร

โดยสรุป ผมพอมองเห็นทางว่า เราควรเตรียมการเรื่องการทำ eBook ไว้สามแนว ได้แก่
  1. หนังสือที่อยู่ระหว่างการผลิตในปัจจุบัน เมื่อจะเข้าโรงพิมพ์ ให้กำหนดว่าต้องทำเป็น pdf file (ซึ่งเป็นรูปแบบของ eBook ชนิดหนึ่ง) ด้วย โดย pdf file อาจจะมีสองแบบ คือแบบเล็ก เพื่อเผยแพร่ทางเว็บ และแบบสมบูรณ์ ซึ่งจะมีความชัดเจนของภาพสูงกว่า เพื่อใช้ในการนำเข้าโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์ซ้ำในอนาคต
  2. หนังสือที่อายุไม่เกิน ๑๐ ปี ควรพยายามหาไฟล์ต้นฉบับ นำมาจัดรูปแบบให้เป็น eBook เสียใหม่ เพื่อใช้อ่านแบบออนไลน์
  3. หนังสือที่เก่าเกิน ๑๐ ปี อาจจะทำได้แค่การนำมาถ่ายหรือสแกนเป็นภาพ วิธีนี้ก็จะได้ eBook แบบหนังสือเก่า เหมือนเป็นภาพถ่ายหรือไมโครฟิล์ม สามารถอ่านได้เท่ากับแบบ ๑ หรือ ๒ แต่ไม่สามารถค้นหาคำในหนังสือได้เหมือนสองแบบแรก ที่เราทำ full-text search ได้
ในแนวที่ ๑ และ ๒ ผมอยากเห็นหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือทำกันเอง (ซึ่งมักจะจ้างบริษัทจัดหน้าและจัดพิมพ์) เพราะ eBook ก็สงวนลิขสิทธิ์ได้ หลายแห่งอาจจะไปมากกว่านั้น คือใช้วิธี “สงวนลิขสิทธิ์บ้าง” โดยใช้กลไกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแบบ Creative Commons แทน Copyright เพื่อช่วยในการเผยแพร่ข่าวสารความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตให้กว้างไกลยิ่งขึ้น แต่สงวนไม่ให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของนำไปเผยแพร่ต่อเพื่อเอากำไร
ในการทำ eBook ที่ดี ไม่ใช่แค่ว่าแปลงเป็น pdf แล้วเสร็จ การเตรียมงานที่ดีจะต้องมีการ mark-up ข้อความที่เป็นชื่อบท ชื่อหัวข้อย่อยต่างๆ รวมทั้งคำอธิบายภาพ และแผนผัง ให้ครบถ้วน เพราะข้อมูลที่ใช้ "บรรยายโครงสร้างหนังสือ" ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เครื่องอ่านหนังสือทำงานได้ดี รวมทั้งการแปลงหนังสือข้อความให้กลายเป็นหนังสือเสียงตามมาตรฐานเดซี่ (DAISY) ด้วย เรื่องนี้ไม่ยาก แต่อยากให้บรรณารักษ์ต่างๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ไปด้วยกัน หากสนใจ ท่านสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช.ได้ตลอดเวลาครับ เพราะเรากำลังปฏิบัติตามแนวทางการสร้าง eBook สามแนวข้างต้นนี้
สำหรับ แนวที่ ๓ เป็นประเด็นการนำหนังสือเก่ามาถ่ายภาพ และจัดรูปแบบเป็น eBook ให้อ่านทางจอคอมพิวเตอร์ได้ งานนี้สนุกมาก พวกเราที่ STKS รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้การทำงานเกี่ยวกับหนังสือเก่า ทั้งด้านการอนุรักษ์หนังสือ และการแปลงเป็นดิจิทัล รวมทั้งได้ไปสัมผ้สหนังสือที่เป็นแบบ "เหลือเพียงเล่มเดียวในโลก" ด้วย เรายังได้รับทราบจากผู้เชี่ยวชาญ ว่าเวลาจับหนังสือเก่าๆ ต้องใส่ถุงมือ ไม่เช่นนั้น เหงื่อจากนิ้วมือของเราจะไปทำลายกระดาษเก่าๆ ได้ง่ายมาก
อีกไม่นาน ทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ก็อาจจมีบริการ eBook สำหรับนิสิต นักศึกษาและบุคลากรของสถาบันนั้นๆ รวมถึงการบริการระหว่างสถาบัน และเพิ่มพื้นที่การบริการในห้องสมุดด้วยระบบใหม่ๆแทนทีหนังสือเล่ม

ที่มา
http://thaiview.wordpress.com/2010/03/27/bookless-library/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น